เวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก หรือขานรับ ของ จะเข้าตัว

คน ในสมัยก่อนมีความเชื่อในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนวิชา ไสยศาสตร์ คาถาอาคม โดยเมื่อถึงวันสำคัญตามความเชื่อของผู้ที่เรียน ก็จะมีการปล่อย “ของ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง คาถาอาคม ผี หรือเวทมนตร์ต่าง ๆ ออกไปเพื่อทดลองวิชา และเมื่อของ ผี หรือเวทมนตร์ดังกล่าวไปถูกหรือกระทบกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง หากใครทัก ของนั้นจะเข้าตัวคนที่ร้องทัก ซงอาจเป็นตะปู หรือ หนังควายเข้าท้อง ทำให้เจ็บป่วยหรือตายได้

ฟัง แล้วน่ากลัวมาก ดังนั้นในตอนกลางคืน หากมีใครมาเรียกหรือมีเสียงอะไรที่แปลกๆคนสมัยก่อนจะเงียบไม่ขานรับนอกจากจะ แน่ใจว่าเป็นเสียงคนที่คุ้นเคยจึงจะขานรับ คนโบราณได้วางอุบายเล่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้กลัวเกรงเพื่อสั่งสอนหรือเตือนบุตรหลานของตนให้รู้จักระมัด ระวังภัยอันตรายในยามค่ำคืนเพราะอาจมีคนมาลอบทำร้าย และขานเรียกเพื่อให้ถูกตัว นั่นเอง

จะก้าวขึ้นหรือลงบันได ให้ก้าวทีละขั้น อย่าก้าวทีเดียวสามขั้น จะทำมาหากินไม่ได้

ประเทศ ไทยเป็นชุมชนเกษตรกรรมมาแต่โบราณ ดังนั้น บ้านเรือนส่วนใหญ่จึงสะท้อนถึงความผูกพันระหว่างผู้คนกับธรรมชาติ สภาพแวดล้อม และวิถีความเป็นอยู่ได้อย่างเด่นชัด โดยนิยมปลูกบ้านอยู่ตามพื้นที่ลุ่ม มีแหล่งน้ำสมบูรณ์เอื้อต่อการทำอาชีพเกษตร และบ้านเรือนไทยในแทบทุกภาคจะนิยมยกพื้นสูงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฤดูน้ำ หลาก หากเป็นฤดูอื่นก็จะใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่สำหรับเก็บอุปกรณ์การเกษตร หรือให้เด็กๆได้วิ่งเล่น และเป็นที่พักผ่อนเย็นสบายในช่วงกลางวัน นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยบนเรือนไทยยังสามารถประกอบกิจกรรมในครัวเรือนได้ทุก สิ่งทุกอย่างจนสำเร็จบนตัวเรือน โดยไม่ต้องลงมายังพื้นดินก็ได้ อีกทั้งยังถือว่าเรือนไทยเป็นเรือนที่ให้ความปลอดภัยสูง นั้นคือ เจ้าของเรือนสามารถชักหรือดึงบันไดขึ้นมาเก็บไว้บนบ้านในเวลากลางคืนด้วย บันไดบ้าน

ในสมัยก่อนจะอยู่นอกบ้าน นิยมใช้ไม้แผ่นทำเป็นขั้นสำหรับขึ้นลง โดยส่วนใหญ่มีลักษณะด้านล่างโปร่งโล่ง และมีราวจับเพียงด้านเดียว หรืออาจไม่มีเลย เพราะฉะนั้นจึงค่อนข้างต้องใช้ความระมัดระวังในการขึ้นลง และหากมีอายุการใช้งานมานาน ไม้ก็อาจจะถูกเดินจนเรียบและลื่น หรือมีบางส่วนผุไปตามกาลเวลาได้

ดังนั้น การที่ คนโบราณสอนไว้ว่า การก้าวขึ้นหรือลงบันได้นั้น ควรขึ้นลงทีละขั้น อย่าก้าวทีเดียวสามขั้น จะทำมาหากินไม่ดี ก็เพื่อป้องกันอันตราย และเตือนว่า หากจะทำอะไรไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำมาหากิน หรือการทำงานอื่นใดก็ตาม ให้ค่อยเป็นค่อยไป อย่าทำอะไรให้เกินความสามารถ และอย่าข้ามขั้นตอน เหมือนกับการก้าวขึ้นบันไดหรือก้าวลงบันได ก็ให้ก้าวทีละขั้น มิฉะนั้นอาจพลัดตกขาแข้งหัก หรือหัวแตกเกิดอันตรายกับตนเอง และที่สำคัญเป็นการสอนให้รู้จักคิดรู้จักไตร่ตรองว่า การทำอะไรควรทำเป็น
ขั้นเป็นตอน ไม่ควรทำอะไรข้ามขั้นตอน

อย่าปลูกกอไผ่ไว้ริมที่ ลูกหลานจะทะเลาะกัน

สภาพ สังคมในอดีต การมีที่ดินเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นเรือกสวนไร่นายังไม่มีการปักหลักเขตหรือ ล้อมรั้วเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์อย่างชัดเจนแต่อย่างใด แต่จะใช้ลักษณะทางธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง แนวต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ เป็นสิ่งแสดงเขตที่ดินแทนหลักเขต แม้แต่ในปัจจุบันบางพื้นที่ในหมู่บ้านตามต่างจังหวัดก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ ซึ่งหากลองถามเจ้าของที่ดินว่า มีที่ดินถึงตรงไหน อาจได้รับคำตอบจากเจ้าของว่าถึงตรงต้นตะเคียนใหญ่สุดหนองน้ำด้านหลังนู้น ทั้งหมดก็ประมาณ ๒๐ กว่าไร่ ก็อาจเป็นได้

ด้วยเหตุข้างต้น จึงมีภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดต่อกันมา ว่า “ อย่าปลูกกอไผ่ไว้ริมที่ ลูกหลานจะทะเลาะกัน ” ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าอธิบายให้ฟังว่า ที่ห้ามไม่ให้ปลูกกอไผ่ไว้ริมที่ก็เพราะว่า กอไผ่แรกปลูกก็จะเป็นเพียงแค่ต้น สองต้น อยู่ริมพื้นที่เท่านั้น แต่เมื่อต้นไผ่เติบโตงอกงามมีหน่อขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็จะขยายกอใหญ่โตออกไป ทำให้รุกล้ำไปในที่ของคนอื่นเกิดปัญหาโต้แย้งกันเรื่องแนวเขตที่ดิน ในสมัยแรกๆที่ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายหรือผู้ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังไม่แยกโฉนดแบ่งปันที่ให้ลูกหลาน และยังมีความเป็นญาติพี่น้องใกล้ชิดกันอยู่ แต่พอถึงรุ่นหลานในช่วงหลังๆที่ห่างออกไป ก็อาจจะตกลงกันไม่ได้ เกิดปัญหาเรื่องแนวเขต ซึ่งหากผู้ใหญ่ไม่ห้ามไว้เช่นนี้ก็อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้

ดังนั้น คนสมัยก่อนจึงได้ออกโบราณอุบาย “ อย่าปลูกกอไผ่ไว้ริมที่ ลูกหลานจะทะเลาะกัน ” เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจคนรุ่นหลังไว้ โดยพูดเป็นอุบายทำให้คนในสังคมเกิดความกลัว และตระหนัก เพื่อที่จะสอนให้ละเว้นไม่ประพฤติปฏิบัติ ในสิ่งที่จะก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งทั้งในครอบครัวตนเอง และเพื่อนบ้าน และมีผลให้สังคมสงบเรียบร้อยครับ

อย่าด่า อย่าตีพ่อตีแม่ ปากจะเท่ารูเข็ม มือจะโตเท่าใบลาน

คน ไทยในสมัยก่อนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม โดยจะมีพ่อซึ่งเป็นผู้นำของครอบครัว จะต้องตื่นแต่เช้ามืด จูงควายไปทุ่ง เพื่อทำไร่ไถนา หาผัก จับปลามาเป็นอาหาร ถ้าลูกยังเล็กแม่ก็จะอยู่บ้านเลี้ยงลูกไปก่อน แต่ถ้าลูกอายุได้สักขวบสองขวบแล้ว ก็จะปล่อยให้อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย แม่ก็จะหาบกระบุง ตะกร้า ปิ่นโต ตามไปช่วยพ่อทำงานด้วย และจะกลับบ้านใกล้ย่ำค่ำ เมื่อกลับถึงบ้านแม่ก็จะเข้าครัวทำกับข้าว หากมีลูกโตพอจะช่วยงานได้แล้วก็จะหุงข้าวไว้รอแม่หลังจากกลับมาจากโรงเรียน ส่วนพ่อก็จะดูแลจัดการควายให้เรียบร้อยด้วยการพาไปอาบน้ำ เอาเข้าคอก สุมไฟไล่ยุง เหลือบ ริ้น ไร หลังจากเสร็จภารกิจแล้วจึงจะไปอาบน้ำ พอดีกับแม่จัดสำรับอาหารเสร็จ ทุกคนก็จะมารับประทานอาหารร่วมกัน

ชีวิต ประจำวันเป็นไปอย่างเรียบง่าย ลูกหลานในสมัยก่อนจึงมักได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดจาก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คำสั่งสอนหนึ่งที่ได้ยินอยู่เสมอจนปัจจุบันก็คือ อย่าด่า อย่าทุบตีพ่อแม่ จะบาปกรรมและเมื่อตายไปจะกลายเป็นเปรต ตัวสูงเท่าต้นตาล ปากเท่ารูเข็ม และ มือโตเท่าใบลาน...

เปรต กล่าวกันว่าเป็นผีจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างสูงโย่งเท่าต้นตาล ผมยาวหยิกหยอย คอยาว ผอมโซ กล่าวกันว่าคนที่ชอบด่าพ่อแม่จะเป็นเปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม กินอะไรไม่ได้ ใช้แต่ปากดูดน้ำๆ จึงไม่อิ่มและร้องหิวโหยดังวี้ดๆ ตลอดเวลาในตอนกลางคืน ส่วนพวกที่ชอบทุบตีพ่อแม่ ก็จะเป็นเปรตที่มีมือใหญ่โตเท่าใบลาน ยกมือไม่คอยขึ้นเพราะหนักมาก

ต้น ลานเป็นไม้ยืนต้น ตระกูลเดียวกับปาล์ม ใบจะเป็นครีบขนาดใหญ่กว้างราว 1.20 เมตร นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องจักสาน เช่น งอบ ปลาตะเพียน พัด เป็นต้น การนำเรื่องปากเท่ารูเข็ม และ มือโตเท่าใบลาน มาเป็นอุบายในการสั่งสอนให้เคารพและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณโดยเฉพาะพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่เป็นผู้ที่มีบุญคุณใหญ่หลวง ลูกหลานจึงควรมีความเคารพกตัญญู และไม่ทำร้ายพ่อแม่ คนโบราณจึงออกอุบายว่า ถ้าตีพ่อแม่มือจะโตเท่าใบลาน เพื่อให้คนในสังคมยุคนั้นเกิด ความกลัว ตระหนักและละเว้นไม่ประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่เหมาะสม

ห้ามหญิงท้องไปดูเขาออกลูก จะออกลูกยาก

การ คลอดลูกในสมัยโบราณกับปัจจุบันแตกต่างกันมาก การทำคลอดในอดีตจะต้องอาศัยหมอตำแยเป็นผู้ทำคลอดที่บ้าน ไม่ได้คลอดในห้องคลอดอย่างโรงพยาบาลปัจจุบัน ซึ่งห้ามมิให้ผู้อื่นเข้าไปนอกจากหมอและพยาบาล หรืออาจจะมีพ่อเด็กด้วยในบางแห่ง ที่ผ่านๆมา เราอาจจะเคยเห็นการคลอดลูกตามภาพยนตร์ ละคร หรือผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าต้องเอาผ้าขาวม้าหรือเชือกผูกบนขื่อ แล้วก็ให้ผู้หญิงที่กำลังจะคลอดจับดึงไว้ เพื่อเป็นหลักให้มีแรงเบ่งให้ลูกออกจากท้อง บางคนคลอดยาก ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความปวดท้องอย่างทรมานอยู่นาน อีกทั้งอาการคลอดก็น่ากลัว ดังนั้น หากหญิงมีครรภ์ไปดูคนอื่นคลอดลูกแล้วได้ยินเสียงหรือได้เห็นภาพอาการเจ็บปวด ของการคลอดอาจจะทำให้กลัวและเกิดอาการเสียขวัญ จึงมีอุบายหลอกไม่ให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งท้องไปดูการคลอดลูก จะออกลูกยาก เพราะไม่ต้องการให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง เกิดอาการหวาดกลัวการคลอดลูกจนทำให้เสียสุขภาพจิตเกิดความวิตกกังวลความ เครียด และความไม่สบายใจอื่น ๆ ตามมา

นอกจากนี้ยัง “ห้ามคนมีท้องหน้าบึ้ง ลูกเกิดมาจะไม่สวย” ด้วย เพราะเป็นที่ทราบกันดีในปัจจุบันว่าโดยปกติผู้หญิงที่มีครรภ์จะเกิดการ เปลี่ยนแปลงด้านสรีระและระดับฮอร์โมน ทำให้ บางคนหงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว เช่นเดียวกับคนโบราณที่มีความเชื่อว่าการมีภาวะจิตใจที่ไม่ดีจะส่งผลถึงลูก ทำให้ลูกเป็นเด็กที่มีอารมณ์แปรปรวนได้ หญิงมีครรภ์จึงควรทำจิตใจให้สงบ อารมณ์แจ่มใส ใบหน้ายิ้มแย้มไม่บึ้งตึง ลูกในครรภ์จะสุขภาพจิตดี หน้าตาสวยงาม

จะเห็นได้ว่า ปู่ ย่า ตา ยาย หรือคนโบราณ ใส่ใจสอนโบราณอุบายที่มีความเกี่ยวข้องกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากเพศหญิงเป็นผู้ที่มีความอ่อนแอกว่า จึงควรได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่า โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะต้องได้รับการดูแล และระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตใจซึ่งจะส่งผลกระทบถึงลูกที่ จะเกิดมาได้

<<<ก่อนหน้า

Free Web Hosting